ต่อจากบล็อกที่แล้วที่เล่าได้ไม่หมดเพราะมันเยอะเหลือ มาพาร์ทนี้จะเล่าเรื่องทั่ว ๆ ไปบ้าง
Workplace
Agoda มีออฟฟิศหลายชั้น แต่ละชั้นก็ตกแต่งได้สวยงามเหมาะกับการทำงานมาก ๆ ยกเว้นชั้น 8 ที่ตัวเองอยู่
ออฟฟิศส่วนใหญ่จะเต็มชั้นและมีแสงสว่างพอเหมาะ แต่ชั้นของเราเป็นชั้นเล็ก ๆ ประมาณสี่ห้อง บรรยากาศก็จะครึม ๆ หน่อย ยิ่งวันไหนฝนตกนี่คือบรรยากาศเป็นใจให้นอนมาก
นอกจากนี้แต่ละชั้นก็จะมี pantry ที่อุดมไปด้วยน้ำและ cereal บางทีก็มีผลไม้ด้วย ปกติก็มากินข้าวเช้าที่ออฟฟิศเพราะประหยัดดี
และนี่คือที่นั่งทำงานของเราเอง
- WFH
- At office
Team
ในทีมจะมีทีมย่อยอีกสองทีม คือ desktop กับ app ทีม desktop ที่เราอยู่มีกันหกคน มีชาวต่างชาติสองคน เวลาทำงานเลยต้องคุยภาษาอังกฤษกัน ในรูปนี้คือทั้งสองทีมรวมกันนะ
ที่ Agoda มี culture ที่ดีอยู่อย่างนึงคือเราสามารถคุยกับใครก็ได้เมื่อมีปัญหา อย่างตอนจะเปลี่ยน MacBook เป็น Windows ก็คุยกับ manager ได้เลย หลังจากนั้นพี่เค้าก็จะแนะนำให้เราติดต่อคนนั้นคนนี้ หรือเวลาเจอบั๊กก็ถามพี่ที่นั่งใกล้ ๆ กันได้เลย
อย่างนึงที่รู้สึกได้เลยคือพอฝึกงานแล้วภาษาอังกฤษอ่อนลงเวลาต้องประชุม แต่เวลาปกติก็ไม่มีปัญหานะ
Intern sessions
มาฝึกงานไม่ได้ทำงานอย่างเดียวนะ แต่ Agoda ยังจัด session ต่าง ๆ ให้ intern ด้วย เช่น เล่าว่าแต่ละทีมใน Agoda ทำอะไรบ้าง เล่าประสบการณ์การฝึกงานจากเด็กฝึกงานเก่า แล้วก็มี ice breaking ให้ intern ได้รู้จักกันด้วย
แต่มีกิจกรรมใหญ่อันนึงคือ Intern pitching competition มันคือกิจกรรมที่ให้ intern จับกลุ่มคิดไอเดียเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหลัง COVID-19 ให้ Agoda มีเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่วนตัวไม่ชอบทำอะไรแนวนี้อยู่แล้วเลยไม่อินกับกิจกรรมซักเท่าไหร่ แต่พอกิจกรรมจบก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร
และนี่ก็คือรูปทีมของเรานั่นเอง
สิ่งที่ชอบ
- ออฟฟิศสวยมาก น่านั่งทำงานดี
- อาหารและเครื่องดื่ม อร่อยสุดยกให้ Granola ไปเลย
- จอพร้อม คีย์บอร์ดพร้อม เมาส์พร้อม dock พร้อม ไม่ต้องเอามาเอง แต่หลายคนก็เอา mechanical keyboard มาเองนะ
- Standing desk เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าจะยืนทำงานทำไมให้เมื่อย พอมาเห็นแล้วก็รู้ว่ามันดีกว่าที่คิดแฮะ น่าเศร้าที่ intern ขอ standing desk ไม่ได้
- ทีมดีมาก บางคนพูดน้อย บางคนพูดมาก (ไม่ได้ว่านะ(´υ`)) แต่ทุกคนเป็นมิตรดีและเก่งมาก ๆ
สิ่งที่ไม่ชอบ
- ออฟฟิศชั้นตัวเอง (จริง ๆ ก็ไม่ได้แย่นะ แค่เห็นชั้นอื่นแล้วเศร้า)
- งานไม่ท้าทายเท่าไหร่ งานบางอย่างยากจริง แต่ยากเพราะต้องเรียนรู้ระบบข้างในมากกว่า technical issue ซึ่งผิดหวังตรงนี้นิดหน่อย
- Intern pitching competition ที่ดูดเวลามาก ๆ แม้จะไม่มีงานก็เถอะ รู้สึกไม่ถนัดแนว business จริง ๆ
- Run project on VM on mac อย่าหาทำ มันช้ามาก ๆๆๆ
Lesson learned
การมาฝึกงาน Agoda มีเรื่องที่ต้องเรียนรู้ใหม่เยอะ บางอย่างเป็นอะไรที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ทำด้วยซ้ำ เอาที่นึกออกละกัน
- เข้าทีม scrum ในบริษัทครั้งแรก ที่ผ่านมามีแต่ทำ scrum ในคลาส ซึ่งความจริงจังต่างจากของจริงไปเยอะเหมือนกัน เห็นการใช้ software และ tools ต่าง ๆ ในการ manage scrum เช่น JIRA, TeamCity และ Slack
- ใช้ debugger จริงจังครั้งแรก เพิ่งจะเข้าใจว่ามันใช้ยังไง พอใช้เป็นแล้วชีวิตง่ายขึ้นเยอะมาก
- เห็นการทำ A/B Testing ครั้งแรก เคยรู้จักแต่ในทฤษฎี เพิ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรก
- Unit Testing, e2e Testing ครั้งแรก Unit test นี่เคยเขียนมาบ้าง แต่ e2e นี่ไม่เคยจริง ๆ และเขียนยากมากเพราะปัจจัยมันเยอะแล้วก็ flaky ด้วย
- การทำ logging สำคัญนะ ที่นี่จะเก็บ log warning และ error ไว้ตลอดทำให้ track issue ได้ง่าย (แต่เบื้องหลังไม่ง่ายเลย)
- Communication is the key ที่ Agoda การทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับหลายฝ่าย ต้องสื่อสารกันตลอด email ที่นี่เด้งทั้งวันเป็นเรื่องธรรมดา
สรุป
การฝึกงาน Agoda สองเดือนเป็นอะไรที่สนุกดีนะ มันทั้งเหนื่อยและไม่เหนื่อยในเวลาเดียวกัน คือไม่ได้รู้สึกว่างานมันยากมาก (มันก็มีที่ยากแหละ) แต่เรื่องที่ต้องเรียนรู้ใหม่มันเยอะ ที่ทำงานสวยน่านั่งทำงาน (ยกเว้นชั้นที่ตัวเองทำงาน TT) culture ดี ทีมเก่งมาก คิดว่าเป็นที่ฝึกงานที่ดีเลย
แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ ตัวเองยังไม่รู้สึกว่าเจอ challenge ขนาดนั้น อาจจะเพราะเวลาสองเดือนมันสั้นไป หรือยังไม่เจอ task ที่น่าสนใจและมีเวลาให้ทำ ยังเสียดายโอกาสในการพัฒนาสกิลด้าน technical แต่สำหรับด้านอื่น ๆ ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ทุกคนที่ทำให้สองเดือนใน Agoda เป็นสองเดือนที่ดีมาก ถือเป็นเรื่องดีอันน้อยนิดในปีนี้
พบกันใหม่ในบล็อกหน้า สวัสดีครับ